- หน้าแรก
- ข่าวประชาสัมพันธ์
- รายละเอียดข่าว
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18-24 ตุลาคม 2562
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565 (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว (4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด และได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดการใช้สิทธิตามโครงการประกันรายได้ฯ โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่
1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,424 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 16,063 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.25
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,947 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,001 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 36,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,350 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,400 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,214 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,437 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,226 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,946 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 509 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,696 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 422 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,717 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 21 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 416 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,536 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 20 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,597 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 81 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0141
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนตุลาคม 2562
มีผลผลิต 497.771 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 498.950 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.24
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนตุลาคม 2562 มีปริมาณผลผลิต 497.771 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.24 การใช้ในประเทศ 494.535 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก ปี 2561/62 ร้อยละ 1.04 การส่งออก/นำเข้า 46.295 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2561/62 ร้อยละ 0.96 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 175.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 1.88
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา จีน กายานา แอฟริกาใต้ ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย และรัสเซีย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ แองโกลา เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน กินี อินโดนีเซีย เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ไนจีเรีย ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา
ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อียู อิหร่าน อิรัก และฟิลิปปินส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมช.กษ.) เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายข้าวหอมมะลิ ราคาตันละ 18,000 บาท ระหว่างสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดพะเยา กับบริษัทข้าว ซี.พี. จำกัด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกล่าวว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้าวหอมมะลิใน จ.พะเยา จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายบริหารจัดการข้าวหอมมะลิประมาณ 151,900 ตัน ให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวหอมมะลิ ณ ความชื้น 15 % ได้ในราคาที่ตันละ 18,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประกันข้าวหอมมะลิของรัฐบาลที่ประกาศไว้ในปี พ.ศ. 2562 ถึงตันละ 3,000 บาท เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา และจะขยายผลไปสู่การส่งเสริมให้เป็นสินค้าอัตลักษณ์ (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ : GI) ของจังหวัดพะเยา โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับผู้ประกอบการภาคเอกชน เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตามแนวนโยบาย “การตลาดนำการผลิต” ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
"สำหรับพะเยาโมเดล มีเป้าหมายสำคัญคือ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ยกระดับรายได้เกษตรกรไทย และการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของตลาดเพื่อนำร่องไปสู่จังหวัดอื่นๆ และขยายผล
ไปในสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิ ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไข่ไก่ เป็นต้น โดยส่งเสริมและพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ระยะต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เน้นการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร และ
การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์และคุณค่าของสินค้าที่มุ่งเน้นความเป็นสินค้าอัตลักษณ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและนำไปสู่ความยั่งยืนในการผลิตสินค้าเกษตรต่อไป" รมช.กษ. ธรรมนัส กล่าว
ด้านนายกมล เชียงวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า พะเยาเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิประมาณ 400,000 ไร่ อำเภอที่ปลูกมาก คือ ดอกคำใต้ และจุน รองลงมาคือ อำเภอเมืองพะเยา มีผลผลิตรวมประมาณ 210,000 ตันเศษ แบ่งเป็นผลผลิตด้านเมล็ดพันธุ์ และเพื่อการบริโภคประมาณ 60,000 ตัน เหลือจำหน่ายประมาณ 150,000 กว่าตัน โดยบริษัทข้าว ซี.พี.จำกัด รับซื้อ 40,000 ตัน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ตันเศษ อยู่ระหว่างการหาตลาดมารับซื้อและขอความร่วมมือในการรับซื้อที่ราคาตันละ 18,000 บาท
ขณะที่ นายฉัตรชัย พิริยะประกาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการงานพัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำ บริษัทข้าว ซี.พี. จำกัด เผยว่า วันนี้เป็นการทำบันทึกข้อตกลงการซื้อขายข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา ในราคา 18,000 บาท/ตัน (ความชื้น 15%) จำนวน 40,000 ตัน ระหว่างสหกรณ์การเกษตรเมืองพะเยา จำกัด สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. พะเยา จำกัด เพราะพะเยาจัดเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ และจากโมเดลนี้จะนำไปสู่การต่อยอดขยายผลสร้างกลยุทธ์เพื่อทำให้ข้าวหอมมะลิมีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ของพะเยาที่แตกต่างจากจังหวัดอื่นด้วย
ที่มา: www.dailynews.co.th
ไทย-ฟิลิปปินส์
นายกีรติ รัชโน รักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้ยุติ
การเปิดไต่สวนการใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) กับสินค้าข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงไทยเป็นการชั่วคราว หลังจากฟิลิปปินส์ได้เปิดไต่สวน เนื่องจากพบว่าปริมาณการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการยุติไต่สวนดังกล่าว ส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดฟิลิปปินส์ เพราะผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ยังคงนำเข้าจากไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีเซฟการ์ดจากข้าวที่นำเข้าจากไทย
“ถือเป็นความสำเร็จในการเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นต่อการส่งออกข้าวของไทย เพราะหลังจากที่กรมฯ ทราบข่าวก็ได้ทำหนังสือโต้แย้งทันที โดยชี้แจงว่า ปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เป็นเพราะฟิลิปปินส์เปลี่ยนระบบ
การนำเข้าข้าวจากเดิมใช้วิธีการทำบันทึกความตกลง (เอ็มโอยู) กำหนดปริมาณนำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกปีละไม่เกินปริมาณเท่าไร และใช้ระบบประมูลนำเข้าแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่ปี 2562 ได้เปลี่ยนเป็นการนำเข้าแบบเสรีโดยภาคเอกชนทำให้มีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะไทยส่งออกข้าวไปตีตลาด”
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาการดำเนินการของกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ต่อไป เพราะขณะนี้เป็นการยุติชั่วคราว และกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลังว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยกระทรวงเกษตรกังวลถึงผลกระทบต่อเกษตรกรจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น แต่กระทรวงการคลังกังวลว่าหากขึ้นภาษีจะทำให้ราคาข้าวแพงขึ้นกระทบต่อประชาชน และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
นายกีรติ กล่าวต่อว่า กรมฯ จะขยายตลาดข้าวไทยในฟิลิปปินส์ต่อไป โดยจะเร่งผลักดันข้าวคุณภาพดีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวพรีเมี่ยม เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ส่วนตลาดอื่นๆ จะขยายตลาดทั้งในแอฟริกา ตะวันออกกลาง โดยจะเจาะเป็นรายประเทศ เพราะปีหน้าการทำตลาดข้าวไม่ง่าย จากการแข่งขันสูง และไทยมีปัญหาเงินบาทแข็งค่า ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่วนเป้าหมายส่งออกข้าวในปี 2562 ที่ตั้งไว้
9 ล้านตัน คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียง เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 11 ตุลาคม 2562 ส่งออกแล้ว 6.44 ล้านตัน มูลค่า 3,441 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 71.66 ของเป้าหมายการส่งออก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565 (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว (4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดการใช้สิทธิตามโครงการประกันรายได้ฯ โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่
1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,424 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 16,063 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.25
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,947 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,001 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 36,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,350 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,400 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,214 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,437 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,226 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,946 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 509 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,696 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 422 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,717 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 21 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 416 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,536 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 20 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,597 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 81 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0141
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนตุลาคม 2562
มีผลผลิต 497.771 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 498.950 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.24
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนตุลาคม 2562 มีปริมาณผลผลิต 497.771 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.24 การใช้ในประเทศ 494.535 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก ปี 2561/62 ร้อยละ 1.04 การส่งออก/นำเข้า 46.295 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2561/62 ร้อยละ 0.96 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 175.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 1.88
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา จีน กายานา แอฟริกาใต้ ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย และรัสเซีย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ แองโกลา เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน กินี อินโดนีเซีย เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ไนจีเรีย ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา
ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อียู อิหร่าน อิรัก และฟิลิปปินส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมช.กษ.) เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายข้าวหอมมะลิ ราคาตันละ 18,000 บาท ระหว่างสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดพะเยา กับบริษัทข้าว ซี.พี. จำกัด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกล่าวว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้าวหอมมะลิใน จ.พะเยา จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายบริหารจัดการข้าวหอมมะลิประมาณ 151,900 ตัน ให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวหอมมะลิ ณ ความชื้น 15 % ได้ในราคาที่ตันละ 18,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประกันข้าวหอมมะลิของรัฐบาลที่ประกาศไว้ในปี พ.ศ. 2562 ถึงตันละ 3,000 บาท เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา และจะขยายผลไปสู่การส่งเสริมให้เป็นสินค้าอัตลักษณ์ (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ : GI) ของจังหวัดพะเยา โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับผู้ประกอบการภาคเอกชน เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตามแนวนโยบาย “การตลาดนำการผลิต” ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
"สำหรับพะเยาโมเดล มีเป้าหมายสำคัญคือ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ยกระดับรายได้เกษตรกรไทย และการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของตลาดเพื่อนำร่องไปสู่จังหวัดอื่นๆ และขยายผล
ไปในสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิ ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไข่ไก่ เป็นต้น โดยส่งเสริมและพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ระยะต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เน้นการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร และ
การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์และคุณค่าของสินค้าที่มุ่งเน้นความเป็นสินค้าอัตลักษณ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและนำไปสู่ความยั่งยืนในการผลิตสินค้าเกษตรต่อไป" รมช.กษ. ธรรมนัส กล่าว
ด้านนายกมล เชียงวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า พะเยาเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิประมาณ 400,000 ไร่ อำเภอที่ปลูกมาก คือ ดอกคำใต้ และจุน รองลงมาคือ อำเภอเมืองพะเยา มีผลผลิตรวมประมาณ 210,000 ตันเศษ แบ่งเป็นผลผลิตด้านเมล็ดพันธุ์ และเพื่อการบริโภคประมาณ 60,000 ตัน เหลือจำหน่ายประมาณ 150,000 กว่าตัน โดยบริษัทข้าว ซี.พี.จำกัด รับซื้อ 40,000 ตัน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 110,000 ตันเศษ อยู่ระหว่างการหาตลาดมารับซื้อและขอความร่วมมือในการรับซื้อที่ราคาตันละ 18,000 บาท
ขณะที่ นายฉัตรชัย พิริยะประกาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการงานพัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำ บริษัทข้าว ซี.พี. จำกัด เผยว่า วันนี้เป็นการทำบันทึกข้อตกลงการซื้อขายข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา ในราคา 18,000 บาท/ตัน (ความชื้น 15%) จำนวน 40,000 ตัน ระหว่างสหกรณ์การเกษตรเมืองพะเยา จำกัด สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. พะเยา จำกัด เพราะพะเยาจัดเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ และจากโมเดลนี้จะนำไปสู่การต่อยอดขยายผลสร้างกลยุทธ์เพื่อทำให้ข้าวหอมมะลิมีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ของพะเยาที่แตกต่างจากจังหวัดอื่นด้วย
ที่มา: www.dailynews.co.th
ไทย-ฟิลิปปินส์
นายกีรติ รัชโน รักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้ยุติ
การเปิดไต่สวนการใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) กับสินค้าข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงไทยเป็นการชั่วคราว หลังจากฟิลิปปินส์ได้เปิดไต่สวน เนื่องจากพบว่าปริมาณการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการยุติไต่สวนดังกล่าว ส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดฟิลิปปินส์ เพราะผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ยังคงนำเข้าจากไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีเซฟการ์ดจากข้าวที่นำเข้าจากไทย
“ถือเป็นความสำเร็จในการเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นต่อการส่งออกข้าวของไทย เพราะหลังจากที่กรมฯ ทราบข่าวก็ได้ทำหนังสือโต้แย้งทันที โดยชี้แจงว่า ปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เป็นเพราะฟิลิปปินส์เปลี่ยนระบบ
การนำเข้าข้าวจากเดิมใช้วิธีการทำบันทึกความตกลง (เอ็มโอยู) กำหนดปริมาณนำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกปีละไม่เกินปริมาณเท่าไร และใช้ระบบประมูลนำเข้าแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่ปี 2562 ได้เปลี่ยนเป็นการนำเข้าแบบเสรีโดยภาคเอกชนทำให้มีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะไทยส่งออกข้าวไปตีตลาด”
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาการดำเนินการของกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ต่อไป เพราะขณะนี้เป็นการยุติชั่วคราว และกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลังว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยกระทรวงเกษตรกังวลถึงผลกระทบต่อเกษตรกรจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น แต่กระทรวงการคลังกังวลว่าหากขึ้นภาษีจะทำให้ราคาข้าวแพงขึ้นกระทบต่อประชาชน และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
นายกีรติ กล่าวต่อว่า กรมฯ จะขยายตลาดข้าวไทยในฟิลิปปินส์ต่อไป โดยจะเร่งผลักดันข้าวคุณภาพดีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวพรีเมี่ยม เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ส่วนตลาดอื่นๆ จะขยายตลาดทั้งในแอฟริกา ตะวันออกกลาง โดยจะเจาะเป็นรายประเทศ เพราะปีหน้าการทำตลาดข้าวไม่ง่าย จากการแข่งขันสูง และไทยมีปัญหาเงินบาทแข็งค่า ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่วนเป้าหมายส่งออกข้าวในปี 2562 ที่ตั้งไว้
9 ล้านตัน คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียง เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 11 ตุลาคม 2562 ส่งออกแล้ว 6.44 ล้านตัน มูลค่า 3,441 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 71.66 ของเป้าหมายการส่งออก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5 % สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.42 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.34 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.09 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5 % สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.86 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.80 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.03
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.05 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.79 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.96 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.65 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.40 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.98
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 304.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,152 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากตันละ 294.00 ดอลลาร์สหรัฐ (8,860 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.40 และเพิ่มขึ้น ในรูปของเงินบาทตันละ 292 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2562 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 388.08 เซนต์ (4,666 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 394.92 เซนต์ (4,753 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.73 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 87 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 31.474 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.53 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.72 ล้านไร่ ผลผลิต 30.995 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.56 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต สูงขึ้นร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.53 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.62 โดยเดือนตุลาคม 2562 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.55 ล้านตัน (ร้อยละ 4.92 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2562 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.61 ล้านตัน (ร้อยละ 55.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก สำหรับราคาหัวมันสำปะหลังสด
มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องจากเชื้อแป้งในหัวมันสำปะหลังต่ำประกอบกับราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.71 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.67 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.40
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.08 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.35 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.41 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.94
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.25 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,993 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (7,022 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,595 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,651 บาทต่อตัน)
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 31.474 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.53 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.72 ล้านไร่ ผลผลิต 30.995 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.56 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต สูงขึ้นร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.53 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.62 โดยเดือนตุลาคม 2562 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.55 ล้านตัน (ร้อยละ 4.92 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2562 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.61 ล้านตัน (ร้อยละ 55.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก สำหรับราคาหัวมันสำปะหลังสด
มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องจากเชื้อแป้งในหัวมันสำปะหลังต่ำประกอบกับราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.71 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.67 บาทในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.40
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.08 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.35 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.41 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.94
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.25 ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,993 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (7,022 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,595 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,651 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2562 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนตุลาคมจะมีประมาณ 1.241 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.223 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.133 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.204 ล้านตัน ของเดือนกันยายน คิดเป็นร้อยละ 9.53 และร้อยละ 9.31 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 2.93 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 2.87 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.09
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 16.69 บาท ลดลงจาก กก.ละ 17.06 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.17
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ปริมาณความต้องการใช้ผลักราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น
ราคาปาล์มน้ำมัน ตลาดล่วงหน้าปาล์มน้ำมันมาเลเซีย ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 สูงขึ้นจากความต้องการใช้ไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยได้รับแรงสนับสนุนจากปริมาณการผลิตที่ลดลงและการคาดการณ์ว่าปริมาณความต้องการใช้ B20 ในมาเลเซีย และ B30 ในอินโดนีเซียจะสูงขึ้น แต่ราคาก็อาจเปลี่ยนแปลงได้จากการแข่งขันกับน้ำมันพืชชนิดอื่นในตลาดโลก เช่น ถั่วเหลือง และอัตราแลกเปลี่ยนริงกิตมาเลเซียที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น อินโดนีเซียและมาเลเซียยังจะดำเนินการคัดค้านกฎหมายของสหภาพยุโรปที่จำกัดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไบโอดีเซล
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,222.47 ดอลลาร์มาเลเซีย (16.32 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,174.61 ดอลลาร์มาเลเซีย (16.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.20
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 579.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17.65 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 557.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.04
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
รายงานการส่งออกน้ำตาลของอินเดีย
อินเดีย รายงานว่ารัฐบาลกลางได้กำหนดโควตาการส่งออกน้ำตาลของอินเดียไว้ที่ 6.00 ล้านตัน ในฤดูการผลิตปี 2562/2563 เพิ่มขึ้นจาก 5.00 ล้านตันของปีก่อน ร้อยละ 20.00 ซึ่งมีการส่งมอบน้ำตาล ไปแล้วประมาณ 3.50 ล้านตัน
รายงานการนำเข้าน้ำตาลของสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรป (EU) รายงานว่าได้ออกใบอนุญาตนำเข้าน้ำตาลจำนวน 376 ตัน (tel quel) ตามสัญญา EPA / EBA ในสัปดาห์ที่ 21 ตุลาคม 2562 ลดลงจาก 18,363 ตัน ในสัปดาห์ก่อน รวมปริมาณนำเข้าน้ำตาลทั้งหมดที่ได้รับในปี 2561/2562 (ตุลาคม-กันยายน) อยู่ที่ 77,482 ตัน ลดลงจาก 80,615 ตัน ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยนำเข้าจากเบเลิซ 23,409 ตัน โคลัมเบีย 17,000 ตัน สวาซิแลนด์ 13,231 ตัน และกายานา 12,110 ตัน
สถานการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลก
การเคลื่อนไหวของราคาน้ำตาลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลได้เคลื่อนไหวผันผวน และปรับตัวลดลง โดยในช่วงแรกราคาน้ำตาลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาซื้อสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงน้ำตาลคืนจากตลาด (short-covering) ของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกำไรต่าง ๆ และข่าวกระทรวงพาณิชย์ของจีนกำลังอนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าน้ำตาลที่มีอัตราภาษีต่ำที่จัดสรรโควตาให้กับบริษัทของรัฐบาล ซึ่งอาจกระตุ้นให้จีนนำเข้าน้ำตาล จีนยังคงโควตานำเข้าน้ำตาลปี 2563 ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2562 ที่ 1.945 ล้านตัน และจัดสรรให้กับบริษัทของรัฐบาล 70% และจากเงินเรียลที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง 2.5% กระตุ้นให้บราซิลผลิตและส่งออกน้ำตาลเพิ่มขึ้น ทำให้ในช่วงสุดท้ายราคาน้ำตาลปรับตัวลดลง จากข่าว Rabobank รายงานความกังวลเกี่ยวกับอุปทานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นในปี 2563/2564 และคาดการณ์การส่งออกน้ำตาลของอินเดียในปี 2564 ที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีฝนตกสภาพภูมิอากาศเหมาะสมส่งผลการเพาะปลูกอ้อยของอินเดียในฤดูการผลิตปี 2563/2564 คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวการซื้อขายถั่วเหลืองระหว่างจีนกับสหรัฐ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ทางการจีนจะซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตร
ของสหรัฐฯ มากถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้า และกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ รายงานว่ายอดส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ อยู่ที่ 475,200 ตัน ซึ่งรวมถึง 68,300 ตัน ต่อสัปดาห์ที่ส่งไปยังจีน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 และมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ได้พยากรณ์การส่งออกรายสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 800,000 ตัน ถึง 1,600,000 ตัน ทั้งนี้ ทางการจีนกล่าวว่า ได้มีการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ประมาณ 10 ล้านตัน ตามข้อตกลงทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 933.60 เซนต์ (10.45 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 934.0 เซนต์ (10.49 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.04
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 307.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.37 บาท/กก.) สูงขึ้น จากตันละ 306.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.33
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 30.72 เซนต์ (20.62 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 30.18 เซนต์ (20.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.79
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวการซื้อขายถั่วเหลืองระหว่างจีนกับสหรัฐ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ทางการจีนจะซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตร
ของสหรัฐฯ มากถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้า และกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ รายงานว่ายอดส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ อยู่ที่ 475,200 ตัน ซึ่งรวมถึง 68,300 ตัน ต่อสัปดาห์ที่ส่งไปยังจีน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 และมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ได้พยากรณ์การส่งออกรายสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 800,000 ตัน ถึง 1,600,000 ตัน ทั้งนี้ ทางการจีนกล่าวว่า ได้มีการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ประมาณ 10 ล้านตัน ตามข้อตกลงทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 933.60 เซนต์ (10.45 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 934.0 เซนต์ (10.49 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.04
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 307.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.37 บาท/กก.) สูงขึ้น จากตันละ 306.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.33
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 30.72 เซนต์ (20.62 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 30.18 เซนต์ (20.33 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.79
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.07 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 20.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.65
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,031.75 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,028.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.96 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.36 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 931.00 ดอลลาร์สหรัฐ (27.94 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 927.75 ดอลลาร์สหรัฐ (27.94 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 945.75 ดอลลาร์สหรัฐ (28.96 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 961.25 ดอลลาร์สหรัฐ (28.95 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.36 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 596.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.89 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 594.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.89 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1091.75 ดอลลาร์สหรัฐ (32.77 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,088.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.77 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.99 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 54.98 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 9.08
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.05 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 23.06 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.04
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.99 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 54.98 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 9.08
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.05 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 23.06 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.04
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,741 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,759 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.02
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,381 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,401 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.43
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 779 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่ค่อนข้างทรงตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 60.30 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 60.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.79 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 57.53 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 61.78 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 59.80 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 64.94 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,300 บาท (บวกลบ 54 บาท) ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่ค่อนข้างทรงตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 60.30 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 60.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.79 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 57.53 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 61.78 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 59.80 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 64.94 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,300 บาท (บวกลบ 54 บาท) ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไก่เนื้อสัปดาห์นี้ ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดมาก ขณะที่ความต้องการไก่เนื้อมีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 36.28 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 36.81บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.44 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 36.01 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.72 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 13.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 35.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 8.45 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 47.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 49.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.08
สถานการณ์ตลาดไก่เนื้อสัปดาห์นี้ ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดมาก ขณะที่ความต้องการไก่เนื้อมีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 36.28 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 36.81บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.44 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 36.01 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.72 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 13.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 35.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 8.45 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 47.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 49.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.08
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคไข่ไก่ที่มีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 295 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 294 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.34 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 291 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 280 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 298 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 331 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในสัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคไข่ไก่ที่มีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 295 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 294 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.34 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 291 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 280 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 298 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 331 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 328 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 329 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 346 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 336 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 310 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 328 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 329 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 346 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 336 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 310 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.35 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 89.37 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.02 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 85.56 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 87.09 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.35 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 89.37 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.02 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 85.56 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 87.09 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.16 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.35 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.27 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 63.90 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.16 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.35 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.27 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 63.90 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
1. สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศการผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 18 – 24 ตุลาคม 2562) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3-4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.95 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.65 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 80.79 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 125.74 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 120.76 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.98 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.33 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 123.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.79 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ย กิโลกรัมละ 127.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 32.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 260.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.06 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
1. สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศการผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 18 – 24 ตุลาคม 2562) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3-4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.95 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.65 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 80.79 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 125.74 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 120.76 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.98 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.33 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 123.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.79 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ย กิโลกรัมละ 127.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 32.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 260.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.06 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา